ก่อนจะเชื่ออะไรสักอย่าง

ก่อนจะเชื่ออะไรสักอย่าง
ก่อนจะเชื่ออะไรสักอย่าง

ถ้าเรียนกับโค้ชสิบคน
เขาก็อาจแนะนำเราไปคนละทาง
เหมือนที่คนเขากล่าวว่า
“มากหมอ​ ก็มากความ”

ถ้าอ่านหนังสือ​สักสิบเล่ม
เราก็อาจได้ข้อคิดมาหลายสิบข้อ
ซึ่งแนวคิดจากผู้เขียนล้วนต่างกัน
ขึ้นอยู่กับ​ประสบการณ์​ที่สะสม​มา

ส่วนจะตรงกับเรามั้ย​ ?
ต้องลองคิด​ ลองทำดู
ก่อนที่จะปักใจเชื่อในทันที

มิเช่นนั้น​แล้ว​…
คงไม่วายตกเป็นคนเชื่ออะไรง่าย​ ๆ
เช่น​ ถ้าผมบอกว่า​ จากสถิติแล้วคนเราตัดสินใจ
ชั่วโมงละ​ 5​ พันครั้ง​ แล้วปักใจเชื่อทันที
ก็เท่ากับว่าได้​ตัดสินใจ​เชื่อโดยไม่ได้ลอง
ค้นคว้าหาเหตุผลและที่มาเสียก่อนว่าสถิตินี้
มาจากการวิจัยของใครหรือสถาบันใด​ ?

หรือ​ มีโค้ชสอนรวย​ บอกทำเงินล้านได้แน่นอน
แต่เราไม่ได้ลองวิเคราะห์​ว่า​ ที่บอกว่าทำได้นั้น
คือใช้เวลากี่เดือน​ หรือกี่ปี​? , อัตราส่วนกำไร
ดีมั้ย​ ? ไม่ใช่ว่าสอนให้ทำเงินล้านแต่กำไรไม่มี
มันก็มีแต่เสียกับเสียจริงมั้ยครับ​ ?

คนทำงานที่ตกเป็นทาสเครื่อง​มือก็มีไม่น้อย
ที่เรียนจบสูง​ ๆ​ มาหรืออ่านแค่ตำราแล้วคิดว่า
ชีวิตการทำงานจริงมันจะง่ายเช่นนั้น
ผมแชร์​ประสบการณ์​ดังนี้ครับ
ผมเคยมีคนรู้จักท่านหนึ่งที่ศึกษาการวิเคราะห์​
คนด้วยศาสตร์​ DISC ที่ให้แนวคิดคร่าว​ ๆ​ ว่า
คนทำงานมี​ 4​ ประเภท​ คือ
1.Dominance(รวดเร็ว​ ชอบนำ)​
2.Influence(ชอบแสดงออก​ ชอบสังคม)​
3.Steadiness(เป็นมิตร​ ชอบช่วยเหลือ)​
4.Compliance(ละเอียด​ มีกฎระเบียบ)​
พอวิเคราะห์​ด้วยเครื่องมือ​แล้วเสร็จ​ก็เริ่มตีค่า
ว่าคนนั้น​ คนนี้​ ต้องทำงานเกี่ยวกับ​อะไร​ ?
หรือเหมาะ​กับอะไร​ ? โดยไม่วิเคราะห์ปัจจัย​
อื่นเพิ่มเติมว่ามันใช่จริงหรือไม่​ ?

หากเป็นการวิเคราะห์​เน้นปริมาณ​หรือหยาบ​ ๆ
ผมว่าพอได้นะ​ แต่จะดีกว่าถ้าลง รายละเอียดให้มากกว่านี้เพราะอย่าลืมว่าแม้กระทั่งคนที่เป็น
ประเภท D เหมือนกันก็ย่อมมีความคิด​
ความอ่านไม่เหมือนกัน​ หรือประเภท​ C
เหมือนกันก็ย่อมคิดเห็นไม่เหมือนกัน

ซึ่งหลักการคิดก็ง่ายๆ และเราก็ประสบพบเจอ
ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่นคนที่เกิดลัคนาราศีเดียวกัน ยังมีความคิดต่างกัน, คนที่เป็นพี่น้องฝาแฝดหรือมีเวลาเกิดไล่เลี่ยกันยังมีชีวิต
ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

นับประสาอะไรกับคนทำงานที่มาจาก
ร้อยพ่อพันแม่แต่โดนจัดประเภทโดยเครื่องมือ​
ที่สามารถมีความคลาดเคลื่อน​ได้​ ทั้งจาก
คนทำแบบทดสอบหรือกระบวนการ​ตรวจผล

สุดยอดการบริหารคนที่ดีที่สุด
จึงต้องอาศัยหลักรู้ลึกและรู้กว้าง

การรู้จักแค่ชื่อเสียงเรียงนาม,
ประวัติการศึกษาผ่านเอกสารหรือฐานข้อมูล
ยังไม่เพียงพอ

ผู้บริหารหรือหัวหน้าที่มีลูกน้องควรรู้ลึกด้วย
เช่น​ นิสัยใจคอของลูกน้อง, ความเป็นอยู่ของ ครอบครัว, สิ่งแวดล้อมที่บ้านของลูกน้องเป็น
อย่างไร​ ?, เขามีความสุขหรือไม่​ ?

เมื่อรู้กว้าง​ รู้ลึกผนวกกับเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์
ในตอนแรกแล้วจึงจะเข้าข่ายเข้าใกล้ความสมบูรณ์และใช้ในการบริหารคนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

สิ่งที่อยากฝากไว้ในบทความนี้
คือการไม่ตกเป็นทาสของเครื่องมือ
ของหนังสือ​ หรือ ผู้สอนคนใดก็ตาม
โดยที่เราไม่ฝึกวิเคราะห์แยกแยะเลย
และส่งท้ายบทความนี้ด้วย​ 10​ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า​ ดังนี้
– อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
– อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบกันมา
– อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
– อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
– อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
– อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
– อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
– อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็น
ของตน
– อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
– อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

ขอบคุณ​ครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ

============

ทุกท่านสามารถติดตามทุกความเคลื่อนไหวที่
http://www.2bfranchisedd.com/category/ข้อคิดคนทำงาน/
“นำเสนอปรัชญาชีวิต สร้างแรงผลักดัน
แรงบันดาลใจในการทำงานให้กับคนทำงาน
พร้อมให้คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ
ที่สนใจขยายสาขาด้วยระบบแฟรนไชส์
อย่างจริงจัง”

ขอบคุณภาพจากเพจ Artuth
ในภาพเป็นภาพไอน์สไตน์​ที่ผมชื่นชอบ​ครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *