ระหว่างหนังสือตำราวิชาการที่เขียนโดย
ผู้จบการศึกษาระดับสูง
กับหนังสือของคนที่เรียนไม่จบปริญญา
(แถมยังโนเนม)
#ขอถามเบาๆนะครับ
คุณจะพิจารณาเลือกซื้อจากนักเขียนคนไหนก่อน
หรือเลือกหยิบเล่มของใครขึ้นมาก่อน ?
ส่วนตัวผมเองมักหยิบจากนักเขียนมีดีกรีก่อน
ซึ่งทำแบบนี้มานานตั้งแต่เริ่มเป็นหนอนหนังสือ
จนอายุหลักสี่ จึงมาเกิดอาการสงสัยว่า
แล้วคนธรรมดาสามัญจะมีโอกาสได้เป็นนักเขียนหรือไม่
ผมได้คำตอบดังนี้
#เป็นได้แน่นอน ผ่านเพจที่สร้างขึ้นมาด้วยราคาศูนย์บาท
เพราะเฟซบุ๊คยังไม่เก็บเงิน
ก็เขียน ๆ ๆ ไปสิ จะมีคนอ่านหรือไม่ อันนี้ไม่รู้
(ผมลองมาแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน)
ทุกท่านสามารถย้อนไปดูโพสเก่า ๆ ของผมได้
ว่าเปิ่นเพียงใด เหมือนช่วงตั้งไข่
การใช้ภาษาไม่ค่อยมีจังหวะจะโคน
โพสไป เพ้อไป คนกดไลค์นั้นแทบไม่มี
#แต่ครับ ด้วยความที่เขียนไม่เลิก
มันก็พัฒนาตัวเองแบบไม่รู้ตัว
ผมพัฒนาการเขียนแค่วันละ 0.27%
ผ่านไป 1 ปี มันก็เหยียบ 100 % ตามสูตรคณิตศาสตร์ง่าย ๆ
แนวคิดของเราไม่ค่อยถูกใจเพื่อนสนิท มิตรสหาย
คงเพราะรู้จักกันมานานจนถึงขั้นตีค่าเราแบบอัตโนมัติ
ถึงพูดโดนใจ ถูกจริตแต่ก็ไม่คิดแชร์ให้เปลืองแคลอรี่นิ้ว
แต่เชื่อมั้ยว่า…นาทีที่เราหลุดกรอบออกมา
ได้นำความรู้และประสบการณ์ที่แลกมาด้วยเหงื่อและน้ำตา
ย้ำอีกครั้ง #น้ำตา มาแชร์ให้กับคนอีกตั้งมากมาย
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ที่เขาขาดองค์ความรู้เพื่อเติมเต็มความมั่นใจ
ด้วยเผอิญเรามีสิ่งที่เขาต้องการ
มันก็จุดประกายไงครับ
เขียนไป เล่าไป มีคนเสพ มีคนตาม
ก็เกิดแรงบันดาลใจ บันดาลขา บันดาลมือ
ให้เขียนไม่หยุดจนไปสุดที่สำนักพิมพ์
(ตอนนั้นผมเป็นศิษย์สำนัก 7D Academy)
โดยผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาคือ #ครูพี่ม้อค#ธวัชชัย_พืชผล
ผมลงเรียนวิชาเขียนหนังสือหลักหมื่น
แต่ต้นทุนแฝงเยอะกว่านั้นมาก
(ค่าเดินทางด้วยเครื่องบินและแท๊กซี่ซะส่วนใหญ่)
ผมรับตำแหน่งผู้ตรวจสอบควบคุมระบบภายใน
(Internal Auditor) ที่เดินทางตลอดเวลา
เพื่อเข้าตรวจสาขาทั่วไทยร่วม 100 กว่าสาขา
ชนิดที่ว่าค่ำไหนก็นอนนั่น
แต่เมื่อถึงคราวตรวจต้นฉบับก็ต้องรีบตีตั๋วเครื่องบิน
ไป-กลับ มาที่ลาดพร้าวซอย 8(ที่ตั้งสำนักพิมพ์)
หลังจากคุยเรื่องต้นฉบับเสร็จ
ผมก็ต้องนั่งรอเวลา กว่าเครื่องจะบินก็วันรุ่งขึ้น
จึงต้องหาเวลาคุยกับเพื่อนนักเขียนและท่านเจ้าของสำนักพิมพ์
จนล่วงเลยถึงเที่ยงคืนทุกครั้งไป
โจทย์มันเลยงอกขึ้นตรงที่
ผมต้องเช่าโรงแรมนอนคืนละไม่ต่ำกว่า 800 บาท
นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วรีบเผ่นไปสนามบินดอนเมือง
พูดตรง ๆ คือมันไม่คุ้มสักนิดที่ต้องเปิดห้องค้างคืน
คิดได้ดังนั้นผมก็บึ่งไปนอนที่สนามบินดอนเมือง
ทุกครั้งไปและใช้สนามบินเป็นที่หลับที่นอน
ภรรยาเป็นห่วงผมมากเพราะ …
– มันไม่ปลอดภัย จะโดนปล้นเอาง่าย ๆ
– ที่นอนไม่สะดวกสบาย
– ไม่มีความเป็นส่วนตัว
– บลา ๆ ๆ ฯ
ผมทำแบบนี้ไม่ต่ำกว่า 5 รอบ
เพื่อให้ปิดต้นฉบับและสั่งพิมพ์และวางจำหน่ายได้
– มันไม่เคยสบาย
– มันต้องแข่งกับเวลา
– มันต้องแข่งกับคู่แข่งที่เขียนแนวเดียวกับเรา
– มันต้องชนะตัวเองคนเก่า
ทำไมผมไม่นอนสบายแล้วค่อยบินกลับ ?
#ผมเฉลยแบบนี้ ผมคิดแค่ว่า
ธุระเสร็จก็ควรบินกลับไปเริ่มงานกับคณะ
ที่มีแต่เด็กรุ่นใหม่ จะให้ทิ้งก็ไม่ได้ด้วยสปิริตของหัวหน้างาน
เราต้องรับผิดชอบงานประจำให้ดี
เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนรุ่นหลัง
หากมีงานเสริมก็ต้องใช้เวลาหลังเลิกงาน
รักษาสมดุลให้ดี เพื่อไม่ให้ล่มทั้งระบบ
วันที่หนังสือผมเสร็จ ผมดีใจมาก
ท่านเจ้าของสำนักพิมพ์ช่วยตั้งราคา
และสรุปที่ 990 บาท
(ราคาเฉลี่ยหนังสือที่ร้านวางขาย
ประมาณ 200-300 บาท)
======
#แทรกนิดนึง
หนังสือหมดสต๊อกแล้วนะครับ
#ไม่ได้เจตนามาขายของ
======
ผมตกใจมาก อึ้งไปเลย
ว่าทำไมต้องตั้งราคาซะขนาดนั้น
แต่เมื่อรำลึกถึงสิ่งที่เราฝ่าฟันมา
ประสบการณ์ที่แลกด้วยน้ำตาและหยาดเหงื่อ
ผมก็ตอบตกลง ขอยืนยันว่าราคานี้คุ้มแล้ว
#ขุนศึกไร้ปริญญา ต้องบากบั่นให้หนักกว่า
เพราะต้นทุนทางสังคมยังด้อย
แต่หารู้ไม่ ขอแค่มั่นใจว่าดำเนินชีวิตโดยสุจริต
หาเลี้ยงตัวเองได้แบบไม่พึ่งพาใครมากเกินขนาด
เราเองก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใคร
ได้มากมาย
หนังสือทำให้ผมมีรายได้เป็นก้อนเข้ามา
เริ่มมีรายการโทรทัศน์ขอสัมภาษณ์
เริ่มมีสมาคม สมาพันธ์ต่าง ๆ มาขอควงแขน
เฟซบุ๊คเริ่มมีคนติดตามเยอะขึ้น
สรุปคือมันดีขึ้น
มันลำบากที่ตอนเริ่ม
แทนที่จะใช้ขาเดินหน้าแต่กลับใช้มันขึ้นก่ายหน้าผาก
สุดท้ายก็จบไม่สวย
ทุกท่านครับ เรื่องราวของผมไม่ได้ยิ่งใหญ่มาก
แต่หากเป็นข้อคิด หรืออะไรก็ตามที่สะกิดใจบ้าง
ผมจะโคตรปลื้ม และมีกำลังใจผลิตผลงานต่อไป
ตายล่ะ… ผมพิมพ์ยาวไปค่อยต่อบทความหน้าละกัน
ใครอยากคุยกันก็พิมพ์มาได้เลยนะ
ยินดีเป็นเพื่อนคุย ตราบที่เรี่ยวแรงยังมีครับ
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ