อยากมีความสุขได้ทุกวันต้องเป็นคนสีเทา
และผมเชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นคนสีเทาได้
หลังอ่านบทความนี้
เมื่อนึกถึงปืนนั้นคุณนึกถึงอะไรครับ ?
บางคนนึกถึงอาวุธที่อันตราย เลือด อาชญากรรม
แต่บางคนก็นึกถึงอาวุธที่ใช้ป้องกันตัวเอง
มีไว้แล้วอุ่นใจสามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายได้
เมื่อนึกถึงดอกกุหลาบล่ะครับ ?
แน่นอนว่าบางคนนึกถึงความรัก หญิงสาว
แต่ก็จะมีคนอีกบางกลุ่มที่มองเห็นหนามแหลมคม
ที่คอยปักมือเลือดไหลซิบ ๆ
แล้วเมื่อพูดถึงเมื่อได้งานใหญ่ ๆ ยาก ๆ มาสักชิ้นล่ะครับ ?
ถ้าคุณมองแบบสีดำ คุณจะเห็นปัญหาเต็มไปหมด
เช่น ความสามารถของคุณจะพอหรือ ?
ไม่ไหวมั้ง ไม่ทันมั้ง
หรือจินตนาการไปว่าโดนกลั่นแกล้งจากเจ้านาย
หรือเพื่อนร่วมงานซะงั้น
ครั้นพอคุณมองแบบสีขาว
ทุกอย่างก็ช่างดูดีไปหมด
เช่น งานชิ้นนี้มาเพื่อให้คุณพิสูจน์ตัวเอง
อาจจะนำมาซึ่งการปรับฐานเงินเดือน
หรือผลตอบแทนก้อนใหญ่
เมื่อมันเสร็จลงเมื่อไหร่น่าจะได้รับการยอบรับแน่ ๆ
เมื่อคิดแบบขาวเกินไปจนลืมมองข้ามบางอย่าง
พอได้งานใหญ่มาก็ลุยจนเวลาให้กับครอบครัวไม่มี
แถมสุขภาพย่ำแย่ลง คาดหวังว่าจะได้เงินเดือนสูงขึ้น
หรือโบนัสก้อนโตตอบแทนโดยที่ในความเป็นจริง
อาจไม่ได้เป็นดังนั้น
จึงเป็นที่มาของการมองโลกแบบ “คนสีเทา”
ที่ไม่ขาวใสเกินไปหรือมองซะดำสนิทซะทีเดียว
แต่กลับมองให้เป็นกลางที่สุด
ในยุคสมัยเคร่งเครียด
คนที่มองโลกในแง่ลบ(Negative thinking)
ถือว่าซ้ำเติมตัวเอง
เพราะเล่นรับบทขี้แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไร
เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
และแน่นอนว่าร้อยทั้งร้อยของคนที่นั่งบัลลังก์
ขึ้นชื่อว่าเป็นคนประสบความสำเร็จ
ล้วนแล้วแต่มีระบบการคิดในแง่บวก
(Positive thinking)
ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดระบบการคิดในแง่บวกได้
นั่นคือคุณต้องฝึกคิดแบบคนสีเทาให้ได้เสียก่อน
เพราะมันจะทำให้เรานั้นไม่ตกอยู่ในความประมาท
จนเกินไป สามารถบริหารความเสี่ยงให้กับชีวิต
ทั้งแง่การทำงานและชีวิตส่วนตัว
หากคุณสนใจเรื่องการคิดแบบคนสีเทา(Grey Thinker)
สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือเล่มหนึ่ง
ซึ่งมีชื่อว่า “การพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์”
ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
อย่างไรก็ตามผมฝากคำกล่าวของครูธวัชชัย พืชผล
ที่กล่าวไว้ได้โดนใจผมมากเกี่ยวกับความคิด
หรือจินตนาการ ว่า…..
“อย่าให้จินตนาการกลายเป็นความกังวล
เพราะสิ่งที่คุณจะรับคือความเครียด
จงใฝ่ฝันถึงความสุดยอดแล้วสนุกกับทุกความท้าทาย”
ขอบคุณครับ