อย่าเพิ่งคิดไปไกลถึงขั้น AI จะมาแทนคนเลย
“คนเก่ง” ต่างหากที่จะมาแทน “คนไม่เก่ง
แถมยังไม่พัฒนาตัวเอง” ซึ่งพูดตรง ๆ แล้ว
มันก็คือคนขี้เกียจจะโดนแทนที่นั่นแหละ
เจ้า AI นั้นยังต้องให้เราคอยป้อนข้อมูล
คอยเสียบปลั๊ก คอยเทรน คอยป้อนคำสั่ง
พร้อมทั้งป้อนบริบทให้มันเก่งขึ้น ซึ่งว่ากันว่า
ใครเข้าใจและสั่งงานมันได้ชัดเจน ครบทุกมุม
ผลงานก็มีแนวโน้มจะออกมาดี ส่งผลให้ชีวิต
การทำงานหรือชีวิตประจำวันดูง่ายขึ้น
คนที่ใช้ AI ได้ก็เลยอาจดูมีดีกรีขึ้นนิดครับ
แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ เพราะวัฒนธรรม
ของบ้านเรายังมีระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน
เป็น”เด็กเก่ง” ไม่สำคัญเท่า “เด็กใคร”
หรือ “know how” ไม่สะเด่าเท่า “know who”
อย่างไรก็ตาม…
ผมสนับสนุนเต็มร้อยให้ทุกท่านพัฒนาตัวเองโดยใช้ AI เป็นเครื่องมือข่วยทุ่นแรง เช่น
สร้างคอนเทนต์,ข่วยวิเคราะห์โดย ChatGPT
สร้างภาพประกอบโดย Alisa
สร้างวีดีโอโดย Kaiber
สร้างดนตรีโดย Soundraw.io
และอื่น ๆ ที่ตรงกับสายงาน
สิ่งเหล่านี้มันคือทักษะแห่งปัจจุบันเพื่อรองรับอนาคต ซึ่งเราต้องฝึกฝนฝีมือตนอยู่เสมอ
ตราบใดที่ AI มันยังชงกาแฟ ชงเหล้าให้ใคร
ไม่ได้ ประจบใครไม่เป็น ก็จงอย่าเพิ่งไปกลัว
มันเลยครับ กลัวคนด้วยกันน่าจะดีกว่า
พวกคนที่รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจมันมีอยู่เยอะ
ที่ว่ากันว่า… “ไม่เอาด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล
ไม่ด้วยกล ก็ด้วยคาถา” ยิ่งต้องหลีกหนีให้ห่าง
จึงเป็นหน้าที่ของเรา เราและเราเอง
(Just me, myself and I) ที่ต้องเรียนรู้
ข้อผิดพลาดจากประวัติศาสตร์เพื่อไม่ให้
มันซ้ำรอยแผลเก่า พร้อมทั้งพัฒนาตัวเองไว้รองรับอนาคตเมื่อโอกาสมาถึง
สรุปว่า…
ตัวเราเองนั่นแหละเป็นโจทย์สำคัญจริงมั้ยครับ ?
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ
www.thanaban.com
======
ภาพจาก Thanaban โดย Midjourney