นักเรียน…นอกหน้าต่าง

ครั้งหนึ่งผมเคยนอนป่วยรักษาตัวอยู่ที่บ้านญาติ
ของผม ตอนที่โดนไม้หล่นมาทับจนไตแตกครั้งนั้น
ผมไม่ท้อแท้สิ้นหวัง เพราะที่นั่นทำให้ผมได้พบกับ
ภรรยาคนปัจจุบัน และคนเดียวที่ผมมีเธอดูแล
ในช่วงนั้น

ผมมีความหวัง และสู้กับความเจ็บปวดว่าต้องหายดี
เพื่อผมจะได้แต่งงาน สร้างครอบครัว การบาดเจ็บครั้งนั้นทำให้ผมไม่ได้เป็นช่างไฟอีกนานหลายปี แต่ผมได้เป็นหัวหน้าแผนกสโตร์ของบริษัทหลังจากนั้น

ผมเติบโตมาในครอบครัวที่แม่เป็นเสาหลัก
เลี้ยงลูก 5 คน คุณพ่อของผมท่านไม่มีเวลามากนัก
ท่านทุ่มเทเวลาที่มีในวงไพ่ ไฮโล จนไม่เหลือเวลามา
สั่งสอนอบรมเลี้ยงดูพวกเรา และทรัพย์สมบัติทั้งหมด
ของแม่ ที่ดินกว่า100 ไร่ ย่านปทุมธานี
ก็ถูกนำไปลงทุนกับการเสี่ยงโชค

ผมมีพี่ชายอีก 2 คนนะ แต่พวกเขาก็ออกไปใช้ชีวิต
หางานหาการทำและสร้างครอบครัวของตัวเอง
และยังผลิตหลานส่งมาเป็นเพื่อนแก้เหงาให้กับย่า
หรือแม่ของผมอีกหลายคน เป็นการตอบแทน

เมื่อผมเรียนจบ ป.4 แม่ก็ไม่ให้ผมไปโรงเรียนแล้ว
ทั้งที่ผมอยากเรียนต่อ แม่แค่บอกผมว่า
เขาไม่ให้เรียนหรอก เพราะไม่มีชุดนักเรียนให้ใส่
เมื่อไม่มีชุดนักเรียนก็เข้าห้องเรียนไม่ได้
ผมเองก็มีหน้าที่ ที่ต้องช่วยแม่ขายของ
เลี้ยงน้องอีก 2 คน และหลานๆ อีก
ต้องดำน้ำจับกุ้งหาปลาและเก็บผัก
มาเป็นอาหารทุกวัน

ผมไม่ใช่คนขยันอะไร แต่ผมไม่มีเงินจะไปซื้อที่ตลาด
ถ้าผมมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็แอบแม่ไปเล่นกับเพื่อนที่
โรงเรียนบ้าง ผมไปโรงเรียนก็บ่อย จนเรียกว่าเป็นประจำ
ซึ่งแม่ก็คิดว่าผมออกไปหาปลา หาผัก แต่ผมไปนั่งเรียนครับ นั่งบนพื้นทางเดินข้างนอกหน้าบ้าง ข้างๆ ประตูบ้าง
แม้คุณครูจะไม่อนุญาตให้ผมนั่งเรียนในห้อง
ผมก็เลือกที่จะเรียนนอกห้อง

ผมมีเป้าหมาย ผมต้องจบ ป.7 พร้อมๆ กับเพื่อนๆ
ผมจึงไปโรงเรียนเกือบทุกวัน จนถึงวันที่เพื่อนๆ จบ ป.7.
และผมก็จบ ป.7 เช่นกัน ผมเชื่ออย่างนั้น แต่อย่าถามหา
ใบรับรองการศึกษา ผมนั่งรอรับมันอยู่ข้างหน้าต่าง แต่คุณครูท่านก็คงมองไม่เห็นผม เพราะผมไม่ได้นั่งอยู่ในห้องนั้น

ผมเรียนจบผมเป็นหนุ่มแล้ว ผมเดินเท้าจากนนทบุรีเข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำ และพี่ชายของผมก็พามาฝากให้นอนรองาน ที่บ้านญาติห่าง ๆ แถวสี่แยกบ้านแขก ผมมองเห็นความลำบากแร้นแค้นของพวกเขา เพราะแม้แต่น้ำข้าวก็ไม่เหลือเพื่อเลี้ยงแขกแปลกหน้าอย่างผม ผมอยู่ได้โดยอาศัยน้ำฝนในตุ่ม ที่ตักดื่มเอาเองโดยไม่ต้องขอ

ผมพักอยู่ที่นั่น อยู่อย่างนั้น หลายวัน มันเป็นช่วงเวลาที่เคว้งคว้าง ที่สุดในชีวิตของผม ในท้องผมมีแต่น้ำ ผมไม่รู้เส้นทางในกรุงเทพ ผมไม่มีเงินติดตัวสักบาท ไม่รู้กำหนดว่าพี่ของผมจะมารับเมื่อไหร่

ความไม่รู้ทั้งหลายมันทำให้ฟ้ามืดในตอนกลางวัน ผมกลัว กลัวมากขึ้นจากวันแรกสู่วันที่สอง เข้าวันที่สาม และความหวังของผมก็เริ่มริบหรี่เหมือนเรี่ยวแรงที่ค่อยๆ อ่อนล้าลง เข้าวันที่สี่ พี่ชายก็มารับผม และข้าวมื้อแรกของผมในกรุงเทพทำให้ผมได้ไปต่อ

งานแรกของผม กระเป๋ารถเมล์สาย 46. งานแรกที่ทำให้ผมมีเงินส่งให้แม่แล้ว ตอนนั้นผมอายุ13 ปี และผมเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่หลายปี ผมเช่าห้องรวมอยู่กับเพื่อน 4 คน วันหนึ่งผมก็โชคดีมีคนแนะนำงานใหม่ให้ มีเจ้านายเป็นฝรั่งที่มาทำงานในประเทศไทย ที่เช่าบ้านอยู่ในซอยศาลาแดง

ระหว่างนั้นผมได้เรียนทำอาหารฝรั่งจากภรรยาของเจ้านาย และทำมันเกือบทุกเช้า มันเรียกว่า scramble eeg ลูกๆ ของผมชอบกิน scramble eeg แค่ไข่คนในกะทะที่ผมตั้งใจทำในวันนั้นมันเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ผมนำมันมาสร้างความสุขให้ครอบครัวในอีกช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต

นายฝรั่งของผมเป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากพูดภาษาอังกฤษได้ และผมก็เรียนรู้ แบบ งู ๆ ปลา ๆ จนอ่านออกเขียนได้ ผมเรียนจากป้ายชื่อร้านต่างๆ ในย่านสีลมตอนที่ออกไปซื้อของให้นาย และผมก็มีดิกชันนารีเล่มแรก ที่เก็บเงินซื้อหามาพกติดตัวไปทั่ว ดูหรูหราในใจผมที่ได้นั่งอ่านมันในที่สาธารณะ

ผมเหมือนคนโรคจิต ที่เห็นภาษาอังกฤษ ก็ต้องพยายามอ่าน หาความหมายที่ถูกต้อง ผมทำอย่างนั้นมาจนติดเป็นนิสัย อย่างถาวร

ไม่นานต่อจากนั้นผมต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร เป็นช่วงชีวิตอันแสนสุขและประทับใจช่วงหนึ่งของผม คุณคงบอกว่าผมบ้า เป็นทหารเกณฑ์แล้วมีความสุข ความสุขคือผมไม่ต้องเสียค่าเช่าห้อง ไม่ต้องซื้อข้าวกิน มีห้องเรียนให้ผมได้นั่งเรียน

ความรู้ระดับ ป.7 บวกกับความสามารถด้านภาษาอังกฤษของผม ทำให้ผมได้อยู่หน่วยงานสื่อสาร ได้ความรู้เรื่องงานช่างไฟฟ้า และอิเล็คทรอนิค ติดตัวมาด้วย และมีเงินเดือน ส่งให้แม่ของผม ที่ต้องเลี้ยงน้องพิการ และหลาน อีก 4 – 5 คน เป็นเวลา 2 ปี ความสุขของผมช่างสั้นนัก

เมื่อผมหมดภาระกิจเพื่อชาติ ในโรงเรียนกินนอน ในมุมมองของผมที่ค่ายธนะรัตน์ มีคนชวนผมไปเป็นช่างเดินสายไฟ
ในหน่วยงานก่อสร้างที่กำลังสร้างโรงแรมดุสิตธานี ตรงหัวมุมถนนสีลม ผมเป็นคนซุ่มซ่าม ไม่รู้ว่าต้องเดินในไซ้ท์งานก่อสร้างอย่างไรให้ปลอดภัย

จังหวะประจวบเหมาะกับความมักง่าย และเซ่อซ่าของช่างปูน ที่โยนไม้แบบลงมาจาก ชั้น10 ร่วงดิ่งลงมาทับร่างของผม ผมสลบแน่นิ่งไป รู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าไตแตก และต้องตัดทิ้งไปหนึ่งข้าง ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่เกือบปีที่บ้านญาติผู้มีพระคุณ โชคดีบนความโชคร้าย ที่บริษัทดูแลค่ารักษาให้ทั้งหมด แต่แม่ของผมไม่ได้รับเงินเดือนจากผมในช่วงนั้น

ผมไม่ได้เป็นช่างไฟอีกหลายปี หลังจากหายป่วยคราวนั้น ผมไม่ได้ตกงาน แต่เจ้านายท่านเห็นว่าผมไม่มีทักษะในการเดินลุยในไซ้ท์งานก่อสร้าง ท่านเจ้าของบริษัทจึงให้ผม อยู่แผนกสโตร์ ทำสต๊อกเบิกจ่ายวัสดุอุปกรณ์ ผมมีเวลาได้ไปเรียนเสริมด้านงานช่างอิเล็คทรอนิค และดิกชันนารีคู่กายของผมก็ยังอยู่ตรงนี้

ความประหยัดมัธยัสถ์ ไม่เคยห้ามผมให้ซื้อหนังสือหรือวิชาความรู้ที่ผมสนใจ เหมือนที่ Benjamin Frankin เคยบอกไว้
“การลงทุนในความรู้ คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด” และผมก็เชื่ออย่างนั้น

ผมคิดว่าหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลายากเข็ญมองไม่เห็นทางออก หรือไม่มีทางให้เลือก สิ่งหนึ่งที่คุณต้องมีคือความหวัง มีเป้าหมาย มุ่งมั่น และไม่หยุดเรียนรู้

นักเรียนนอก….หน้าต่าง อย่างผมเชื่ออย่างว่า
“ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ” ขอเพียงคุณไม่หยุดสู้
และจมอยู่กับความท้อแท้

=======

บทความจากสมาชิกเพจบริหารความคิด
ข้อคิดคนทำงานที่ใช้นามว่า …Ga Clarke

=======

ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเพื่อน ๆ​ ในการเขียนบทความครั้งต่อ ๆ ไป

ท่านที่อยากส่งบทความในคอนเซปต์ “ชีวิตต้องสู้”
สามารถอ่านรายละเอียดที่
https://bit.ly/3eOgdEh

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความของท่าน
จะช่วยส่องแสงสว่าง สร้างแรงบันดาลใจ
ให้กับทุกคนเพื่อดำเนินชีวิตอย่างเปี่ยมพลังครับ

ธนบรรณ สัมมาชีพ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *