นักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งได้นัดกันไปปีนเขา
แต่วันนั้นดินฟ้าอากาศเกิดแปรปรวนขึ้นอย่างฉับพลันจึงทำให้พวกเขาพลัดหลงอยู่ในหุบเขา
หาทางออกไม่ได้อยู่หลายวัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพรานหลายคน
ได้ช่วยกันค้นหาอย่างไม่ลดละจนในที่สุด
ก็สามารถหาพวกเขาพบและช่วยเหลืออกมาได้
ในขณะที่กำลังลำเลียงพวกเขาขึ้นรถพยาบาลอยู่นั้น นักศึกษาคนหนึ่งที่นอนอยู่ในเปลก็ได้พูดขึ้นมาว่า
“อันที่จริงพวกเราทุกคนต่างรู้ทิศทางที่จะออกจากหุบเขานี้ดี แต่มันน่าเจ็บใจที่เดินยังไงก็ออกมา
ไม่ได้สักที”
“รู้แค่เพียงทิศทางมันจะมีประโยชน์อะไร”
ทหารพรานคนหนึ่งพูดโพล่งออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“รู้หนทางสิ จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
นักศึกษาหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเพราะไม่เข้าใจความหมาย ทหารพรานคนนั้นจึงได้กล่าวต่อไปว่า
“แม้ทิศทางจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการที่จะช่วยคุณค้นหาหนทางได้ แต่ทิศทางก็ยังไม่ใช่หนทางอยู่ดี
ตัวอย่างเช่น หากทิศทางบอกกับคุณว่า ควรมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะคุณจะสามารถพบหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยอยู่ได้
แต่บังเอิญหนทางที่คุณกำลังจะไปกลับที่หุบเหวมาขวางทางเสียก่อน และไม่ว่าคุณจะพยายามยังไง
ก็ไม่สามารถข้ามหุบเหวนั้นไปได้
ในขณะนั้นทิศทางก็บอกกับคุณอีกว่าควรขึ้นเหนือ
เพราะทางทิศเหนือมีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง
แต่หลังจากที่คุณต้องระหกระเหินเดินผ่านป่าทึบด้วยความยากลำบาก คุณกลับต้องมาเจอกับแม่น้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่งขวางทางไว้ และคุณก็ไม่มีความมั่นใจพอที่จะเข้าไปได้ ถึงตอนนี้คุณจะทำยังไง?”
“หากพิจารณาหากตัวอย่างข้างต้นก็จะเห็นได้ว่า
ทิศทางที่คุณเดินไปนั้นไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
แต่สุดท้ายคุณก็ยังไม่สามารถออกมาจากหุบเขานั้นได้นั่นก็เพราะคุณไม่พบหนทางนั่นเอง”
#ทิศทางนั้นหาง่ายแต่หนทางมันหายาก
ทิศทางนั้นเด่นชัด แต่หนทางมักแอบแฝงซ่อนเร้น
หากพระนิพพานคือทิศทางที่ทุกคนควรมุ่งหน้าไปให้ถึง
แล้วหนทางเล่า? อยู่ที่ไหน?
บางคนมุ่งแสวงหาในพระคัมภีร์ แต่สุดท้ายก็เหนื่อยเปล่าเพราะหากยังไม่พบหนทาง รู้ทิศทางก็ไร้ประโยชน์เพราะหากยังไม่พบหนทาง ก็ไม่มีวันที่พ้นทุกข์ได้สุข
======
บทความจากคุณกระสือข้างส้วม
จากเว็บกองทัพพลังจิต
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ
ขอบคุณภาพจาก #wildfreepage