นาทีแรกที่เราเริ่มสร้างตัวตนผ่านเฟซบุ๊ค
หรือแพลตฟอร์มอื่น มันเปรียบดังกิจการ
ได้เริ่มแล้ว แม้ไม่มีจัดทำบุญเลี้ยงพระหรือจัด
Grand Opening ให้ชาวบ้านรับรู้อย่างเป็นทางการ
ไม่ว่าในนั้นจะมีขายสินค้าหรือบริการหรือไม่ ?
มันก็ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสนองอะไรบางอย่างในใจ
ของผู้ก่อตั้งเอง
บางคนทำเพจขึ้นมาเยอะแยะ แต่ดูแลไม่ไหว
นั่นบอกอะไรเรา ?
บางคนทำเพจหนึ่งถึงสองเพจ แต่คุณภาพล้นแก้ว นั่นบอกอะไรเรา ?
บางคนทำเพจขึ้นมาแล้ว ไม่อัพเดทเนื้อหา
ปล่อยร้าง จะให้ลูกค้าหรือลูกเพจเข้าใจว่า
อย่างไร ? หรือเพราะเพจนั้นฟรี ไม่มีค่าเช่า
จึงทำอย่างไรก็ได้เช่นนั้นหรือ ?
อย่างไรก็ตาม…
ผมอยากให้กำลังใจคนทำเพจที่อยากแบ่งปัน
แชร์ประสบการณ์ชีวิตในสิ่งที่สามารถช่วยเหลือ
สังคมได้ ว่า อย่าเพิ่งท้อแท้ใจหากไม่มีแฟนคลับ
เพราะผมเองก็ยังหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์อยู่ทุกวัน
วันไหนมีคนติดตามเพิ่มก็ดีใจ
วันไหนมี unlike, unfollow ก็ไม่ต้องกังวลไป
เราทำได้เดินหน้าทำต่อเพื่อทำในสิ่งที่รัก
พร้อมกับผู่ร่วมอุดมการณ์เท่านั้น
“ทุกวันนี้ ลูกค้าไม่มาหา ก็ต้องออกไปหาลูกค้า”
มันเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องดำเนินการ
การทำเพจนั้นแทบไม่ต่างกัน เพราะมันจะกระทบทันทีเมื่อไม่มีใครเข้ามาเยี่ยมชมเลย
ทั้ง ๆ ที่แค่คลิกเดียวก็ทำได้แล้วผ่านหน้าจอมือถือ
คนที่ตั้งใจทำเพจจำนวนไม่น้อย ที่ทำเพจหรือ
โพสคลิปและบทความแล้ว ไม่มีคนกดถูกใจ
ด้วยอาจจะมันไม่เด้งหน้าจอเพื่อน หรือเพราะ
เฟซบุ๊กของพี่มาร์คจำกัดเงื่อนไขการเข้าถึงบ้าง
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องอารมณ์ ความรู้สึกล่ะ ?
ต้องถามว่าเคยออกไปถูกใจบทความ
หรือโพสของใครบ้าง นอกจากเพจตัวเอง ?
เหมือนไปงานบวช งานแต่งนั่นแหล่ะ
หากไม่เคยไปใส่ซองให้เขาก่อน
มันก็ยากที่เขาจะมาใส่ซองให้เรา
จริงมั้ยครับ ?
คนสองคน ทำเพจพร้อมกันด้วยปรารถนา
อันแรงกล้า เมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือนก็ยังมี
คนติดตามน้อย
คนแรก เริ่มวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนของเพจตน
เริ่มศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเพิ่ม
และทำต่อเนื่องตามหลัก Plan Do Check Act
คนที่สอง คิดว่าเพจเริ่มเป็นภาระ
ทำแบบสุกเอาเผากิน แชร์แต่โพสจากที่อื่นมา
จนเพจดูไร้ชีวิต(บ่อยเกินไป)
แล้วมันจะไปต่อยังไงหว่า…?
เอาเป็นว่า ณ.โอกาสนี้
ขอยุติการพร่ำรำพันไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ