คนรอบกายเราจะมีข้อเสียอย่างต่ำ 2-3 ข้ออยู่แล้ว
เราสามารถเขียนออกมาได้หลายหน้ากระดาษ
เลยทีเดียว และคนอื่นเขาก็คิดไม่ต่างจากเราหรอก
เขามองเข้ามาและคิดว่าตัวเราน่ะ ก็มีข้อเสียอยู่ถึง
2-3 ข้อเช่นกันอย่างแน่นอน
คนส่วนใหญ่ถนัดในการวิจารณ์คนอื่นครับ
แต่กับตัวเองดันทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ซะงั้น
ข้อเสียที่เจอได้ทั่วไป เช่น ใจร้อน โกรธง่าย
คิดมาก ขี้วิตกกังวล… ฯ ข้อเสียเหล่านี้ติดอันดับ
ทอปฮิตเพราะหลายคนก็ต่างรู้ดีว่า มักมีอาการ
เหล่านี้อยู่เป็นประจำ
ถามว่าปล่อยไปแบบนี้ได้มั้ย ?
ตอบว่า อย่าเลยครับ ชีวิตเราควรได้สิ่งที่งดงามกว่านี้
แต่มันต้องแลกมากับความอดทน ด้วยการมี
ทัศนคติที่ดี มีคุณภาพและที่สำคัญคือต้องเป็นไป
อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น
คิดดูสิครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่อยากเป็นคนที่ดีขึ้น
อยากผอม ก็ออกกำลังกาย
อยากหายใจร้อน ก็เริ่มศึกษาธรรมมะ
อยากหายกังวล ก็เริ่มเรียนรู้ศาสตร์แห่งจิตวิทยา
ทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเอง
แต่ปัญหาคือ ทำได้ไม่ต่อเนื่อง
เมื่อเวลาผ่านไปก็เฉื่อยชา ท้อถอย เบื่อหน่าย
แล้วชีวิตมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ?
ทั้งหมดที่กล่าวมามันเป็นโรค “แพ้ใจตัวเอง”
ซึ่งไม่ต้องตกใจเพราะคนส่วนใหญ่ก็เป็นโรคนี้กัน
และมีแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่เปลี่ยนโลก
ซึ่งคนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จนั้น
ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมากหรอก
มันคือมีทัศนคติที่ดี คิดดี ทำดีและสม่ำเสมอ
ทำได้ดังนี้มันจึงมีแค่ ดี ดีกว่า ดีกว่า ดีกว่า… ฯลฯ
ไม่มีที่สิ้นสุดไงครับ
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ