#โดนปล้นความสุข… นี่คือภาวะที่เราอาจกำลัง
เผชิญโดยไม่รู้ตัว จนเวลาภายไปเริ่มนึกขึ้นได้ว่า
ตัวเองไม่ได้ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเมื่อก่อน
แล้วใครกันนะที่บังอาจมาปล้นความสุขที่เราพึงมีไป เขาเหล่านั้นคือลูกน้อง, เจ้านาย, แฟน
หรือคนรอบข้างกายอย่างนั้นหรือ ?
ที่กล่าวมาล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยได้ทั้งหมดเลยครับ
_ลูกน้องขาดงาน ทำงานไม่สำเร็จ เราก็พลอย
โดนลูกหลงไปด้วยตามสายบังคับบัญชา
_เจ้านายเรื่องมาก เจ้ากี้เจ้าการ ใช้แต่งาน
เงินไม่เคยเพิ่มให้ แค่คิดก็กลุ้มใจทุกคืนไป
_แฟนขี้หึง ให้โทรรายงานตัวทุกชั่วโมง
แบบนี้จะมีกะจิตกะใจทำงานมั้ยล่ะครับ
เล่นเอาความสุขที่บ่มเพาะขึ้นมาคงหายเกลี้ยง
แต่ว่าไปแล้ว… พวกเขาเหล่านั้นมีสิทธิ์มาขโมย
ความสุขเราได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
ความจริงแล้วไม่ว่าใครก็ตาม เขาไม่มีสิทธิ์
เข้ามาขโมยความสุขเราได้เลยหากเราไม่อนุญาต
และเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นขโมยตามที่เรากล่าวหา
เลยแม้แต่นิดเดียว หากแต่เป็นการยกเปรียบเปรย
ให้เห็นภาพชัดขึ้นเท่านั้น
ที่เราต้องสร้างภูมิต้านทานให้ใจของเรา
มันคือเพื่อให้พ้นจาก ความกลัว, ความอิจฉา,
ความโกรธ, ความหึงหวง, ความเสียใจ น้อยใจ
และหลากอารมณ์ที่ทำให้ใจขุ่นมัว จนไม่เป็น
อันทำการทำงานสุดท้ายก็เศร้าซึม
สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเมื่อจิตเราอ่อนแอ
เผยโอกาสให้หัวขโมยความสุขทำงานได้ดีขึ้น
เมื่อเรารู้ซึ้งถึงกระบวนการทำงานของมันแล้ว
จึงไม่ควรนิ่งเฉย หากแต่ควรลุกขึ้นมาจัดการ
ต่อต้านมันให้อยู่หมัด และคิดเสมอว่า
“ไม่มีใครจะทำให้จิตใจของเราทำร้ายได้
หากเราไม่ยินยอม”
เมื่อเราแกร่งขึ้น ทุกอย่างเป็นน้ำจิ้มชีวิต
ที่อะไรผ่านเข้ามาก็เป็นเนื้อหาสู่ความสำเร็จทั้งนั้น
แต่ในทางกลับกัน เมื่อทำไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งยอมแพ้
มันจะยากแค่ในครั้งแรก ๆ สักพักจะชินเอง
หาไม่แล้ว… เมื่อเรายอมแพ้อุปสรรคเมื่อไร
เจ้าของฉายา” หัวขโมยความสุข” มันคงไม่ใช่ใครที่ไหน… นอกจากตัวเราเอง
แค่คิดก็ปวดกระดองใจแล้วเอย
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ