“อย่าเรียนมากไปจนไม่ได้ใช้ชีวิต”
ไม่ได้มีจุดประสงค์ต่อต้านการเล่าเรียน
แต่ประการใด ที่ห่วงคือถ้าเรียนมากไป
จนไม่มีเวลาเอามาใช้ มันก็ไม่ได้ประสบการณ์
แบบนี้เสียเวลาเปล่านะครับ
“Learning to Work.” กันมานาน
ขยับเป็น “Working to Learn.” บ้างก็ได้
กล่าวคือเราโดนปลูกฝังให้ขยันเรียนกันมานาน
บางคนเรียนจนกระทบฐานะทางการเงิน
ของครอบครัว เพราะเมื่อจบปริญญาตรี
ก็ต่อยาวถึงปริญญาเอกแถมยังต้องเป็น
มหาวิทยาลัยดังที่เมืองนอก
ยังไม่รวมมนุษย์อบรมสัมมนาทั้งหลาย
ที่เสียเงินซื้อคอร์สหลักพันหลักหมื่น
เพื่อสะสมความรู้และความมั่นใจ รวบรวมใบ Certificate มากมายแต่สุดท้ายเวลาผ่านไป
ก็ไม่ได้ควักเอาความรู้ที่เล่าเรียนเหล่านั้นมาใช้ทำมาหากินหล่อเลี้ยงชีพสักที
มาดู “Working to Learn.” กันนิดเพื่อชีวิต
ที่ดีขึ้น มันก็แนวความคิดของนักทำนี่แหละ
“นักทำ” มักลงมือทำก่อน “นักคิด” เพราะ
ไม่ได้รอให้ทุกอย่างเป็นใจก่อนค่อยเริ่ม
หากจะว่าไปมันก็คือ ทำไปเรียนรู้ไป
สุดท้ายความสำเร็จก็ไม่หนีไหน
ผมชอบข้อคิดจาก MUJI
แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นที่ขายสินค้าหลากชนิด
ในหนังสือ “พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด”
ที่เขาตั้งคำถามว่า “วิธีการทำงานของคุณ
เป็นเวอร์ชั่นอัพเดตใหม่ล่าสุด” อยู่เสมอ
หรือเปล่า ?
เขาเชื่อว่า… การทำงานเป็นสิ่งที่มีชีวิต
มีความเปลี่ยนแปลง มีความก้าวหน้า
เกิดขึ้นทุกวัน วิธีการทำงานในตอนนี้
ก็ไม่ได้เป็นวิธีการทำงานที่ดีที่สุดในเดือนหน้า
ที่ยกบทความจาก MUJI มาฝากกัน
คือพยายามส่งสารว่า… การที่ทำอะไรใหม่
ในวงการ มันไม่มีคู่มือให้ทำตามหรอกครับ
เราต้องเริ่มครีเอทและเริ่มลงมือทำเอง
มันจะก่อความผิดพลาดบ้าง ก็คือเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเราแก้ไขปัญหาใหม่ได้ เราก็จะได้
เดินต่อก่อนและมีเรื่องเล่าให้คนรุ่นหลังฟัง
เหตุการณ์เหล่านี้ไม่อาจบังเกิดได้เลย
ถ้าใครสักคนจะเอาแต่เล่าเรียนปีแล้วปีเล่า
แต่ไม่ยอมลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ผมจึงชวนคุยกันวันนี้ในหัวข้อ
“อย่าเรียนมากไปจนไม่ได้ใช้ชีวิต”
ซึ่งการใช้ชีวิตมันก็คือการลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหา
ที่แฝงอยู่ในงานประจำและชีวิตส่วนตัวนั่นเอง
เมื่อถึงคราวก็ต้องสลัดคราบนักเรียน นักศึกษา
พนักงาน มาเป็น “นักใช้ชีวิตกัน”
รับประกันเลยว่าเมื่อเปลี่ยนทัศนคติได้
ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตจะใกล้ชิดเข้ามา
ขอเป็นกำลังใจครับ
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ
ขอบคุณภาพจากเพจ Minds