ทำงานให้ฉลาดก่อนไปนั่งโง่ ๆ

“นั่งฉลาดทำผลงานให้ได้​
ก่อนไปนั่งโง่​ ๆ​ ตามใจปรารถนา”
ขอขยายความคำว่านั่งโง่​ ๆ​ สักนิด​ เพื่อจะได้
เข้าใจเจตนารมณ์​ของบทความ​นี้
มันคือ​ การนั่งพักกาย​ พักใจ​ อยู่​ในสภาวะ
ไม่ต้องทำอะไรเลย​ เผื่อว่าบางทีการที่ได้คุย
กับตัวเองบ้างอาจจะตกตะกอนอะไรบางอย่าง​
และทำให้ชีวิตเดินต่อไปได้
*ไม่ได้​หมายถึงนั่งทำอะไรโดยสิ้นคิดหรืองี่เง่า
แล้วไปเดือดร้อนคนอื่นแต่ประการใด*

คนจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหา​ทุกข์​ใจ
แล้วก็ใช้เทคนิคการไปนั่งโง่​ ๆ​ เผื่อคิดอะไรออก
หรือหาทางออกในชีวิตเจอ​ ที่จริงมันก็ไม่ได้
ผิดอะไรหรอกครับ​ เพราะเทคนิคการระดมสมอง​
เพื่อให้ได้ไอเดียใหม่​ ๆ​ ที่มันนอกกรอบก็ต้อง
มีการเปลี่ยนแปลงโลเคชั่น​ สถานที่ทำงานบ้าง
เหมือนที่บริษัท​มักจัด​กิจ​กร​รม​ Outing
เพื่อใ​ห้พนักงาน​ได้พักผ่อนหย่อนใจ​แถมได้
สร้างสัมพันธ์​ที่ดีข้ามกลุ่ม​ ส่งผลดีต่อการติดต่อ
ประสานงาน​

ปัญหา​คือถ้าไปกับบริษั​ท​ มันก็ได้ใช้งบบริษัท​
ไม่ได้ควักเองสักบาท​ แต่การไปเที่ยวเองนี่สิ
มันกินเงินในกระเป๋าไม่ใช่น้อย​ ยิ่งในปัจจ​ุบัน
บริษัท​ทัวร์​มีให้เที่ยวก่อนผ่อนทีหลัง​ ยิ่งตัดสินใจ
ไปเที่ยว​ง่ายขึ้น​ เรียกได้ว่าสุขใจในวันนี้
แต่กลับมาผ่อนค่าเที่ยวอีกเป็นปีจนหลังอาน

การตัดสินใจแก้ปัญหา​ตรงหน้าให้ได้
ยอมเหนื่อยล้ากายและใจเพื่อบรรลุเป้าหมาย​
ก่อนที่จะเถลไถลออกนอกเส้นทาง​จึงเป็น
สิ่งจำเป็นอย่างมาก​ มันคือการมีสมาธิจดจ่อ
อยู่​กับงาน​ มุ่งผลสำเร็จ​เป็นหลัก​ เมื่อผลงาน
ได้ตามเป้าหมาย​แล้วจึงตัดสินใจ​หยุดพัก
คราวนี้ก็ไม่มีใครว่าได้​ อีกทั้งยังรู้สึกดีกับตัวเอง
มากขึ้นเรื่อย​ ๆ

ตัวอย่างในชีวิตจริงที่เห็นไม่นานมานี้
ที่ผมชอบแนวความคิดของท่านมากคือ
อ.เฉลิมชัย​ที่สื่อทั้งหลายพากันทำข่าวถึง
ความคิดของท่าน
“กูทำมาเยอะแล้ว ปล่อยวางแล้ว
เพราะรู้จักพอ อยากพักผ่อน อยากใช้ชีวิต
ให้มีความสุข จะเที่ยวอย่างเดียวจนกว่าจะตาย”
อารมณ์​เหมือน​เกษียณ​ตัวเองจากการทำงาน
ชีวิตที่เหลืออยู่​ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

จะว่าไปมันเป็นไปตามทฤษฏี​ Hierarchy of​ Needs.ของ​ Abraham Maslow กับทฤษฎี
ที่เชื่อว่ามนุษย์จะมีลำดับความต้องการแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ
1. Physiological Needs ความต้องการพื้นฐาน เช่น อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค​ (ปัจจัยสี่)​
2. Safety Needs ความต้องการด้านความปลอดภัย
3. Love and belonging Needs ความต้องการเป็นที่รักและเป็นส่วนหนึ่ง
4. Esteem Needs ความต้องการมีคุณค่า
ได้รับการยอมรับ​ เช่น​ มีเงินเดือนสูง​ มียศำแหน่ง
มีการได้รับโอกาสให้เสนอไอเดียอยู่บ่อย​ ๆ
5. Self-Actualization Needs ความปรารถนาที่จะสามารถเติมเต็มจิตวิญญาณ​ตนเองได้อย่างสมบูรณ์

และที่กล่าวมา ผมจึงเข้าใจทันทีว่าอ.​เฉลิมชัย
ได้มาถึงยอดสูงสุดของปิรามิด(ข้อที่​ 5)​

สุดท้าย​นี้เราคงต้องย้อนกลับ​มาวิเคราะห์​ตัวเอง
ว่าเรา​อยู่​ที่ขั้นไหนระหว่างขั้นที่​ 1-5​ และเมื่อ
มองไปที่ฐานปิรามิด(ข้อ​ 1)​มันยิ่งสะท้อนถึง
ชีวิตจริง​ที่ไม่เคยง่ายเลย​ เพราะ​ ปัจจัยสี่ทั้งหลาย​ มันต้องใช้เงินทั้งนั้น​ เมื่อมีเงินมีทองพร้อม​
เราก็ขยับไปขั้นต่อไป​ ระหว่าง​ขั้นแต่ละขั้นนี่แหละ​ ที่มันคือสีสัน​ มันทำให้มนุษย์​เรามีสถานะ
ทางสังคมแตกต่างกันออกไป

สิ่งที่ตัดสินว่าใครจะสำเร็จ​มากกว่ากัน
มันคือความส​ามารถในการแก้ปัญหา​
ย้ำว่า​ “แก้ปัญหา​” ไม่ใช่​ “หนีปัญหา​”
ยิ่งแก้ปัญหา​ใหญ่ได้​ ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้น​
แถมยังสะสมความมั่นใจอย่างนักรบไร้พ่าย

แต่สำหรับคนที่แก้ปัญหา​ไม่เก่งก็อย่าเพิ่งท้อใจ
ของอย่างนี้มันฝึกฝนได้​ เริ่มจากแก้ปัญหา​เล็ก​ ๆ
จนเกิดความชำนาญ​แล้วเพิ่มความยากขึ้นเรื่อย​ ๆ
เมื่อเจอปัญหา​ใหญ่​ยักษ์​ก็ให้ซอยย่อยออกมา
ทีละประเด็นเหมือนกินช้างทีละคำ​ (มอง​ Big
Picture​ แล้วค่อยขยี้ทีละปัญหา​ตามลำดับ
ความสำคัญ​)​

คนเก่ง​ คนฉลาด​ คนสำเร็จ​ทุกคนล้วน
ต้องผ่านกระบวนการ​แบบนี้มาทั้งนั้น
วันนี้จะไปพักผ่อนทั้งที​ ต้องได้อะไรแลกเปลี่ยน​
กลับมาจากเงินทองและเวลาที่เสียไปอย่างคุ้มค่า
อนึ่ง​ การทำอะไรตามอำเถอใจมากเกินไป
“ระวังอาจจะเป็นแค่การเปลี่ยนที่โง่
สุขใจระยะสั้น​ แต่ฝันร้ายไม่เคยจางหาย
กลับไปก็โง่เหมือนเดิม​”
จึงเตือนสติ​เพื่อน​ ๆ​ มาด้วย​ประการฉะนี้​แล

ขอบคุณ​ครับ
ธน​บรรณ​ สัมมาชีพ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *