คนที่ “ตรรกะและเหตุผล”(ศาสตร์)มาก
จนเกินไป อาจพาไปสู่คำตอบที่ผิดได้
ผู้ที่ศึกษาแนวปรัชญาบ้างจะรู้ครับว่า
… เหตุผลใช้อธิบายทุกเรื่องไม่ได้หรอก
แม้กระทั่งบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก
ยังต้องสะดุ้งเมื่อการคิดด้วยตรรกะและเหตุผล
เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว
ตามตำรา เมื่อเวลาผ่านไปมักถูกแทนที่
ด้วยคนที่คิดได้เหมือนกันแถมคิดได้เร็วกว่า
เมื่อใช้ตรรกะและเหตุผลมากเข้า
เราก็สามารถใช้ AI เข้ามาแทนที่ซะเลย
ดังนั้นผู้ที่จะเป็นผู้นำในยุคสมัยนี้จึงต้องเป็น
ผู้ที่ใช้อารมณ์และสัญชาตญาณ(ศิลป์)
ได้ดีเลิศด้วย สามารถใช้ศาสตร์และศิลป์
ในสัดส่วนที่พอดีไม่เอียงซ้ายหรือขวามากไป
ผมเก็บไปคิดนะที่เขาบอกว่า…
คนที่เก่งเรื่องศิลป์มักเถียงแพ้คนที่เก่งเรื่องศาสตร์ เพราะคนประเภทหลังเขาจะมีข้อมูลสนับสนุนเยอะถ้าไม่เจ๋งจริงโค่นยากชิบ
อ่านต่ออีกนิด… โลกไม่ได้เจริญเพราะความเหมือนหรอกนะ เมื่อคิดด้วยตรรกะและเหตุผล
ก็จะได้ทางออกเดียวกัน เหมือนกันทุกสำนัก
แต่โลกของเราเจริญได้เพราะความแตกต่าง
มันต้องอาศัยสัญชาตญาณ ความนอกกรอบ
ปลดปล่อยความคิดล่องลอยบ้างและนี่จะเป็น
สาเหตุที่ท้ายสุดแล้วคนที่ใช้ศิลป์นำจะกลับมาถือไพ่เหนือกว่าได้ในตอนจบ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวไว้
“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”
ผ่านมาหลายปี มันก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ต้องเชื่อก็ได้นะครับ ดูกันยาว ๆ
จะเก่งศาสตร์ไหนก็ดี เอาตัวให้รอด
เป็นยอดดีครับ
ขอบคุณแนวคิดจาก ยามางุจิ ซู
จากหนังสือ “เก่งด้วยศาสตร์ ชนะขาดด้วยศิลป์”
นักเขียนรางวัลHR Award 2018
จากประเทศญี่ปุ่น
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ
ขอบคุณภาพ Which one are you?
by @pascalcampionart