ตอนเป็นเด็ก เราสอบตกก็ต้องสอบใหม่
คือต้องสอบจนผ่าน เอาให้เบื่อหน้ากันไปข้าง
ตอนนี้โตกันหมดทุกคน แน่นอนว่าไม่ต้อง
มานั่งทำข้อสอบกันอีกแล้ว แต่มันเป็นภาระ
หน้าที่การงานที่ต้องทำให้เสร็จแลกกับค่าตอบแทน
วัยทำงานก็ไม่ต่างอะไรจากวัยเรียนหรอกครับ
เราก็มีผิดพลาดกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
หลังจากผิดพลาดแล้วเราก็ต้องปรับปรุงพัฒนา
หาคำตอบที่ดีที่สุดเพื่อทำให้ภารกิจบรรลุให้ได้
หากทำไม่ได้ก็เหมือนเรียนซ้ำชั้น
แต่ในชีวิตการทำงานมันคือการที่ไม่ได้ปรับ
เลื่อนขั้นไม่ได้รับการโปรโมทให้ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น หรือโดนดองนั่นเอง
เมื่ออยู่ในวัยเรียนการติวหรือหมั่นทำแบบฝึกหัด
แบบทดสอบเยอะ ๆ จะส่งผลให้สอบได้คะแนนดี
หากผมจะกล่าวว่าในชีวิตการทำงานของเรา
ก็ต้องหมั่นวิเคราะห์ความเสี่ยง วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการเพื่อที่จะทำให้ภารกิจลุล่วงโดยประหยัดทรัพยากรมากที่สุด ซึ่งก็ทำนองเดียว
กันกับวัยเรียน
แจ๊ค หม่าเองเคยกล่าวไว้ในงาน
“Forum for World Education”
จัดโดย OECD ที่กรุงปารีส ว่า
Everybody should be like a “Child”.
“ทุกคน”ควรเป็นเหมือน “เด็ก” ที่เรียนรู้
อยู่ตลอดเวลา ในยุค New Normal งานเดิม ๆ
ที่เคยทำกันมาจะหายไป 15-20%
และจะเกิดงานใหม่ที่เราเองก็คาดไม่ถึงว่า
มันจะเป็นอาชีพได้
ดังนั้นอย่าหยุดการเรียนรู้ไว้แค่ที่โรงเรียน
หรือมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่จงเรียนรู้โลก
นี้ไปตลอดเวลา ด้วยแนวคิดที่ว่า
“Society is The Best University.”
สิ่งที่ผมอยากจะสื่อความหมายในบทความนี้
ก็คือเราสามารถผิดพลาดได้และจงเรียนรู้กับมัน
หลังจากนั้นเราจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรคอีกต่อไปแต่มันคือกำไรชีวิตที่แฝงมาในเหตุการณ์
ประจำวันในที่ทำงาน
ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยประสบปัญหา
ดังนั้นการที่เรามองว่ามันคือโจทย์
ที่ต้องแก้ให้ได้ เราก็จะสนุกกับมัน
เมื่อเราแก้มันได้เราก็ได้เงินหรือผลตอบแทน
จากบริษัทหรือลูกค้าที่มอบให้เรา
และแน่นอนว่ายิ่งโจทก์นั้นยากเท่าไรซับซ้อนมากเท่าไรก็จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนที่มากมาย
เช่นกัน
ดังนั้นอย่าหยุดที่ปัญหาจิ๊บจ๊อย
แต่จงพัฒนาตัวเองให้เตรียมพร้อมแก้ปัญหา
ใหญ่ ๆ กันเถอะครับ… รายได้ก้อนโตรออยู่
ฮึบ ๆ
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ
www.thanaban.com