“อยู่ใกล้เปลวไฟ เราได้พลังงานความร้อน
อยู่ใกล้คนมีไฟ เราได้พลังงานชีวิตครับ”
ถ้ายังนึกไม่ออกก็ลองจินตนาการ
ถึงเมื่อครั้งที่มีความรักใหม่ ๆ สิครับ
เมื่อได้อยู่ใกล้แฟน หรือว่าที่แฟน
หัวใจมันเต้นรัวเหมือนเหยียบกลองสองกระเดื่อง
หรือแทบเต้นไม่เป็นจังหวะใช่มั้ยเล่า ?
การที่เรานำตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อม
ที่เหมาะสม หรือแค่อยู่ใกล้คนที่มีไฟในการทำงาน
มีทัศนคติเชิงบวก มันช่วยให้เราได้รับพลังงานบวก
เข้าไปด้วยเต็ม ๆ
ตรงกันข้ามกับการที่เราเอาตัวเข้าไปอยู่
ในกลุ่มคนเกียจคร้าน เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับ
เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไร้มุมมองในการพัฒนาตัวเอง
แบบนี้ย่อมดูดพลังชีวิตเราไปแทบไม่รู้ตัว
เพจ “จิตแพทย์ ออนไลน์” เคยกล่าวไว้ครับว่า
“ความคิด” ก็เหมือนไข้หวัด
อยู่ใกล้คนที่มีความคิดแบบไหน
เราก็จะมีความคิดแบบนั้น
อยู่ใกล้คนคิดบวก ชีวิตคุณก็จะบวก
อยู่ใกล้คน คิดลบ ชีวิตคุณก็จะคิดลบ
(มีแนวโน้มจะโดนกลืนพฤติกรรม)
แต่เอาล่ะ ชีวิตจริงของเราอาจเลือกไม่ได้
ที่จะต้องใช้ชีวิตทั้งวันกับใครบ้าง เพราะแม้กระทั่ง
ในที่ทำงานก็ยังมีทั้งคนหมดไฟ มีไฟ
ไหนจะคิดบวก คิดลบปะปนกันไปหมด
สิ่งที่ผมอยากฝากไว้ในกรณีที่เลี่ยงจาก
คนประเภทไม่มีไฟแถมยังจ้องดูดพลังของเรา ดังนี้
1. อย่าได้เผลอไปจิตตก หรือผสมโรงกับเรื่องลบ ๆ
ที่เขาเล่ามาเป็นอันขาด ตั้งสติเข้าไว้ว่าจะอยู่ในแดนบวกและรักษาความสุขของเราไว้
2. อย่าไปต่อล้อต่อคำกับคนประเภทนี้
หากเขาชวนทะเลาะก็ให้เลี่ยงไปทำอย่างอื่น
หรือเดินไปเข้าห้องน้ำไปเลย หรือบางครั้งเขาขอความคิดเห็นในเรื่องไร้สาระที่สุ่มเสี่ยง
กับความขัดแย้งก็พึงเลี่ยงเช่นกัน
3. อย่าไปตัดสินใจอะไรแทนเขา เพราะสุดท้าย
หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา เขาจะโทษเราว่า
ให้ข้อมูลที่ผิดไป
และเหตุผลอีกนานัปการที่ควรเลี่ยงพวกชอบ
ดูดพลังเหล่านี้ และที่อยากฝากไว้ก่อนจากกัน
คือ เมื่อเรามีสภาพจิตใจที่ดีงามแล้ว
อย่าลืมแบ่งปันพลังงานบวก ให้กับคนรอบข้าง
เริ่มจากอะไรที่มันง่าย ๆ เช่น มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ
หรือสร้างเสียงหัวเราะ คอยให้กำลังใจเพื่อนเสมอ
เพียงเท่านี้ผลดีก็จะบังเกิดขึ้นกับเราก่อน
เพราะนอกจากจะดีงามจากภายในแล้ว
ทุกคนรอบกายก็จะมีความสุข
และแน่นอนว่าเมื่อทุกคนมีความสุข
เปล่งปลั่งเหมือนดาวฤกษ์เมื่อใดล่ะก็
เมื่อนั้นเราจะมีออร่า เพราะได้รับแสงชีวิต
กลับคืนมาดั่งกระจกเงาบานใหญ่นั่นเอง
ขอบคุณครับ
ธนบรรณ สัมมาชีพ