คุมอง

“คุมองเป็นการเรียนเฉพาะตัว
ไม่ต้องแข่งกับคนอื่น แต่แข่งกับตัวเอง”
บทสัมภาษณ์​จากเด็กคนหนึ่งที่เรียนกวดวิชา
กับคุมอง​ ที่ผมชอบและนำมาขยายความต่อ

แฟรนไชส์​กวดวิชาในยุคนี้นั้นอยู่รอดยาก
แต่”คุมอง” กลับเป็น​หนึ่งในผู้ที่รอดได้
ผมลองส่องยอดรายได้และกำไรเมื่อปี 2019
ปรากฎว่า…(ข้อมูล​จากmarketeeronline)​
รายได้รวม​ 630 ล้านบาท​ กำไร​ 149 ล้านบาท
คิดเป็นอัตรากำไรถึง​ 23.7% เลยทีเดียว

คุมองเป็นสถาบันพัฒนาทักษะที่ใหญ่
ที่สุดในโลกซึ่งมีจำนวนนักเรียนกว่า 4 ล้านคน
ใน 50 ประเทศและในหลายภูมิภาคทั่วโลก
และในไทยเองก็มีสาขาอยู่​ถึง​ 483 สาขา
(ณ.ปัจจุบัน​น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง​จำนวน)​

ต้องยอมรับว่ากลยุทธ์​การหาเงินเข้ากระเป๋า
ของคุมองนั้นใช่ย่อย​ ซึ่งรายได้หลักจะมาจากการขายแฟรนไชส์ ด้วยการเก็บค่า Franchise Fee (ค่าแรกเข้า)​ และ Royalty Fee ในทุกเดือนตามจำนวนนักเรียนที่จ่ายเงินเป็นค่าเรียนให้กับคุมองเป็นรายเดือนไป​ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด
คุมองจะเก็บค่าเรียนเดือนละ 1,500-1,600 บาท
ตามระดับชั้นการศึกษา​ของ​ผู้​เรียน

ในยุคที่ตลาดแฟรนไชส์​เทน้ำหนักมาที่ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, ของหวานและเบเกอรี่
ซึ่งห้ำหั่นกันสุด​ฤทธิ์​สุด​เดช​ ผมจึงอยากให้
หันมามองธุรกิจอื่นที่ไม่ต้องสต๊อกสินค้าหรือ
เป็นแบบซื้อมาขายไปบ้าง

การทำแฟรนไชส์​แบบคุมองมีแนวทางเฉพาะตัว
คือวิธีการสอนคำนวณที่ไม่เหมือนใคร
ทำให้ผู้เรียนทุกรุ่นเริ่มปากต่อปาก​
ซึ่งเรารู้ดีกันอยู่แล้วว่า​ การตลาดแบบปากต่อปากนั้นสุดแสนคลาสสิก​และได้ผลขนาดไหน

สิ่งที่คุมองสอนผู้เรียนทุกรุ่นคือ
“ไม่ต้องแข่งกับคนอื่น แต่แข่งกับตัวเอง”
และธุรกิจของเราในวันนี้ล่ะครับ
แข่งกับตัวเองบ้างหรือไม่​ หรือได้แต่วิเคราะห์​
SWOT​ แบบรู้แต่เขา​ แต่ไม่เคยรู้เราเลยสักนิด

เร่งพินิจพิเคราะห์​ด่วนนะครับ

ขอบคุณ​ครับ​
ธน​บรรณ​ สัมมาชีพ​
ภาพจาก​ therichmustknow.com

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *