คุณมีหุ้นส่วนแล้วอึดอัดใจมั้ย ?
ถ้ามีแล้วส่งเสริมให้ร่ำรวยก็ดีไป
แล้วถ้าหุ้นส่วนมหาประลัยไม่ได้เสริมบารมีเลย
อันนี้จะไปโทษใครดี … โอ๊ย ปวดหัวโว้ย !!
เชิญชวนอ่านก่อนที่กิจการจะพับลงก่อน
เวลาอันควรว่าด้วยความแตกต่างระหว่าง
“เศรษฐีเงินล้าน” และ “เศรษฐีเงินร้าน”
.
.
ปล.ขอเรียกเศรษฐีเงินร้านว่า “ท่าน” นะครับ
.
.
ตื่นมาตอนเช้า…อืมม์…ขออีกทีครับ
ตื่นมาตอนสายๆ (เพราะท่านไม่เคยตื่นเช้าเลย)
=========================
เศรษฐีเงินร้านเมื่อตื่นแล้วก็จะให้พนักงาน
สั่งอาหารมื้อเที่ยงสุดหรู โดยใช้เงินของร้านจ่าย
โดยไม่สนว่าเข้างานตอนเช้าไม่ทัน(แต่ฉันก็จะกิน)
อาหารโปรดของท่านก็คงไม่พ้นฟาสต์ฟู๊ดยอดฮิต
ชื่อขึ้นต้นด้วย K หรือไม่ก็ P
ราคาที่ท่านกินต่อมื้อเทียบกับข้าวกล่องของ
พนักงานทั่วไปก็ประมาณ 3-4 กล่องรวมกัน
==========================
หลังจากมื้อเที่ยงท่านก็เบิกค่าน้ำมันจากทางร้าน
แบบเต็มถัง เพื่อขับไปพักผ่อนหย่อนใจส่วนตัว
โดยให้เหตุผลว่า ท่านต้องออกไปเยี่ยมลูกค้า
ก่อนหน้านี้ท่านก็ใช้เงินร้านทำเครื่องเสียงใหม่
เพราะอ้างว่าเพื่อสร้างความบันเทิงให้ลูกค้า
เมื่อต้องขับไปรับ ไปส่ง
===========================
บ่ายแก่ ๆ ท่านเดินมาที่แคชเชียร์
ดึงเงินสดจากลิ้นชักเก็บเงินไป 20,000 บาทถ้วน
เพื่อไปจ่ายค่างวดรถยุโรปคันงามที่จอดทิ้งไว้ที่จอดรถ
โดยแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใด
===========================
พอสิ้นวัน ท่านก็เบิกเพิ่มอีก 10,000 บาท
เพื่อจะไปสังสรรค์งานเลี้ยงรุ่นกับสหาย
แต่ให้เหตุผลว่า เป็นค่าเลี้ยงรับรองลูกค้า
===========================
ภาพรวมที่เล่ามาสะท้อนอะไรบ้างครับ
ค่าใช้จ่ายที่ทยอยหลั่งไหลเข้ามาเบิกที่ร้าน
ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
แทบไม่ส่งผลประโยชน์ใด ๆ กับกิจการร้านค้าเลย
ผลลัพธ์จากการที่เราไม่แบ่งกระเป๋าซ้าย ขวาให้ดี
อาจส่งผลกระทบต่อกิจการที่เราสร้างมา
ถึงเราไม่ทำเองก็อาจเป็นหุ้นส่วนที่ทำ
หากขาดกฏ ระเบียบที่เข้มงวดต้องพึงระวัง
ส่วน “เศรษฐีเงินล้าน” ผมไม่ขอกล่าวถึงนะครับ
เพราะเขาจะปฏิบัติตรงข้ามกับ”เศรษฐีเงินร้าน”
หรือสิ่งที่ผมเล่ามาโดยสิ้นเชิง
เขาจะมีแต่รวย ๆ ๆ เพราะจัดการหุ้นส่วนอยู่หมัด
ว่าแต่ว่า…. ถามสักนิด คุณมีหุ้นส่วนแบบไหน
อยู่ครับตอนนี้ ?